รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้ความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภค โดยบัญญัติถึงสิทธิ
ของผู้บริโภคไว้ในมาตรา 57 ว่า"สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ได้บัญญัติสิทธิของผู้ บริโภคที่จะได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมาย 5 ประการ ดังนี้
1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่ จะได้รับการโฆษณาหรือการ
แสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้องและเพียงพอที่จะ ไม่หลงผิด ในการซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม 2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยความ สมัครใจของผู้บริโภค และปราศจากการ ชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม 3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัย มีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐาน เหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือระมัดระวังตามสภาพของสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว 4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับข้อสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ 5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ตามข้อ 1, 2, 3 และ 4 ดังกล่าว | ||
![]() |
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
สิทธิผู้บริโภค 5 ประการ
วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย
“อาหารคือตัวเรา” นี่คือคำกล่าวที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเอราล้วนมาจากอาหารที่กินเข้าไป เริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ เราได้อาหารจากแม่เพื่อไปสร้างโครงสร้างเลือดเนื้อจนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก และเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เราต้องกินอาหารทุกวัน เพราะอาหารไม่เพียงแต่จะนำไปประกอบเป็นส่วนต่าง ๆของร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข ถ้ามีภาวะโภชนาการที่ดี (หมายถึงการกินที่ถูกต้อง) แต่ถ้าหากกินอาหารไม่ถูกหลักหรือไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัญหาภาวะโภชนาการได้ในปัจจุบันนี้ คนไทยยังประสบปัญหาโภชนาการอยู่มาก ไม่ว่าจะเป็นการขาดสารอาหาร เช่น ขาดสารไอโอดีน โรคโลหิตจาง ฯลฯ เป็นต้น โรคเหล่านี้ทำให้เด็กมีความเจริญเติบโตช้า และมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองผิดปกติ เจ็บป่วยง่าย ไม่ใช่แต่เด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็มีผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ สมรรถภาพทางร่างกดายในการทำงานต่ำ ในขณะเดียวกันถ้าภาวะโภชนาการเกิน ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน เช่น โรคอ้วน เบาหวาน หัวใจขาดเลือด มะเร็ง ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้ ปัญหาทางด้านโภชนาการของคนไทยนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ แต่หนึ่งในสาเหตุสำคัญ คือคนไทยส่วนมากยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง จึงทำให้ขาดความรู้และความคิดที่ดีต่อการกินอาหาร เพื่อการมีภาวะโภชนาการและสุขอนามัยที่ดีี้
การดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต้องรู้จักการกินอาหารเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาคือการออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยโภชนาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านอาหารและโภชนาการ จึงได้จัดทำ “ข้อปฏิบัติในการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี 9 ข้อ หรือโภชนบัญญัติ 9 ประการ” เพื่อเผยแพร่ให้ใช้ยึดเป็นแนวทางในการกินอาหารให้หถูกต้องตามหลักโภชนาการ
โภชนบัญญัติ 9 ประการ ประกอบด้วย
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากกลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว เพื่อให้สารอาหารที่ ร่างกายต้องการอย่างครคบถ้วนและมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่อ้วนหรือผอมเกินไป
2. กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารแป้งในบางมื้อ เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวและได้คุณค่าและใยอาหารมากกว่า
3. กินผักให้มาก และกินผลไม้ประจำ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและต้านโรคมะเร็งได้
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่าย ถั่วเมล็ดแห้งเป็นโปรตีนจากพืชที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้
5. ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร กินอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิ แต่พอควร เลือกกินอาหาร ประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) แกงไม่ใส่กะทะเป็นประจำ
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด กินหวานมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด กินเค็มจัดเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน อาหารที่ไม่สุกและปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมี เช่น สารบอแร็กซ์ สารเร่งสี สารกันเชื้อรา สารฟอกขาว สารฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน ทำให้เกิดโรคได้
9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก
โภชนบัญญัติทั้ง 9 ประการนี้ ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง และทำให้ได้ครบทั้ง 9 ประการ
การจะมีโภชนาการที่ดีและสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ ดังนี้
1. กินอาหารและปฏิบัติตามโภชนบัญญัติทั้ง 9 ข้อ
2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
3. ผ่อนคลายจิตใจ
4. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษภัย เช่น บุหรี่ เหล้า และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
หลักในการจัดอาหารที่กินใน 1 วัน เป็นเมนูสุขภาพ (กรณีปรุงอาหารเอง)
การดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต้องรู้จักการกินอาหารเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาคือการออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยโภชนาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านอาหารและโภชนาการ จึงได้จัดทำ “ข้อปฏิบัติในการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี 9 ข้อ หรือโภชนบัญญัติ 9 ประการ” เพื่อเผยแพร่ให้ใช้ยึดเป็นแนวทางในการกินอาหารให้หถูกต้องตามหลักโภชนาการ
โภชนบัญญัติ 9 ประการ ประกอบด้วย
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากกลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว เพื่อให้สารอาหารที่ ร่างกายต้องการอย่างครคบถ้วนและมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่อ้วนหรือผอมเกินไป
2. กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารแป้งในบางมื้อ เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวและได้คุณค่าและใยอาหารมากกว่า
3. กินผักให้มาก และกินผลไม้ประจำ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและต้านโรคมะเร็งได้
4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่าย ถั่วเมล็ดแห้งเป็นโปรตีนจากพืชที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้
5. ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว
6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร กินอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิ แต่พอควร เลือกกินอาหาร ประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) แกงไม่ใส่กะทะเป็นประจำ
7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด กินหวานมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด กินเค็มจัดเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน อาหารที่ไม่สุกและปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมี เช่น สารบอแร็กซ์ สารเร่งสี สารกันเชื้อรา สารฟอกขาว สารฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน ทำให้เกิดโรคได้
9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก
โภชนบัญญัติทั้ง 9 ประการนี้ ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง และทำให้ได้ครบทั้ง 9 ประการ
การจะมีโภชนาการที่ดีและสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ ดังนี้
1. กินอาหารและปฏิบัติตามโภชนบัญญัติทั้ง 9 ข้อ
2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
3. ผ่อนคลายจิตใจ
4. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษภัย เช่น บุหรี่ เหล้า และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
หลักในการจัดอาหารที่กินใน 1 วัน เป็นเมนูสุขภาพ (กรณีปรุงอาหารเอง)
วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
มารู้จักกับอย.น้อยกันเถอะคะ
| |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
วันศุกร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การทดสอบสารฟอกขาวในอาหาร
การทดสอบสารฟอกขาวในอาหาร
ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต
อาหารที่มักตรวจพบ
ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต
อาหารที่มักตรวจพบ
ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
การบริโภคอาหารที่มี โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบันกระทรวง สาธารณสุขยังไม่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขในการควบคุมการใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ในอาหารแต่มีการควบคุมเฉพาะสารในกลุ่มซัลไฟต์(สารฟอกขาว) เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์และโซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ ซึ่งอนุญาตให้ใช้ตามประกาศ ฯ ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527) เรื่องวัตถุเจือปนอาหารแต่ปัจจุบันยังคงตรวจพบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนในอาหารหลายชนิด ผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ
ผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต

อาหารที่มักตรวจพบ
ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
ผลกระทบต่อสุขภาพ
- ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ
- ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง
* ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต
* ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต
ตัวอย่างอาหาร
- น้ำตาลมะพร้าว หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน
- น้ำแช่ผักผลไม้ เช่น ถั่วงอก กระท้อน
1. ถ้าอาหารเป็นของเหลว ให้เทตัวอย่างของเหลว นั้นลงในถ้วยพลาสติก จำนวน 5 มิลลิลิตร
2. หยดน้ำยาทดสอบจำนวน 1-2 หยด ลงในถ้วยเขย่าให้เข้ากัน
การประเมินผล
1. ของเหลวมีสีเทา หรือสีดำ แสดงว่าอาหารมีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (ไม่ควรรับประทาน)
2. ถ้าของเหลวมีสีฟ้าอ่อน หรือสีเขียว แสดงว่าอาหารไม่มีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์
ข้อควรระวัง
การบริโภคอาหารที่มี โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบันกระทรวง สาธารณสุขยังไม่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขในการควบคุมการใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ในอาหารแต่มีการควบคุมเฉพาะสารในกลุ่มซัลไฟต์(สารฟอกขาว) เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์และโซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ ซึ่งอนุญาตให้ใช้ตามประกาศ ฯ ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527) เรื่องวัตถุเจือปนอาหารแต่ปัจจุบันยังคงตรวจพบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนในอาหารหลายชนิด ผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ
ผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต

อาหารที่มักตรวจพบ
ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
ผลกระทบต่อสุขภาพ
- ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ
- ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง
* ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต
* ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต
ตัวอย่างอาหาร
- น้ำตาลมะพร้าว หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน
- น้ำแช่ผักผลไม้ เช่น ถั่วงอก กระท้อน
1. ถ้าอาหารเป็นของเหลว ให้เทตัวอย่างของเหลว นั้นลงในถ้วยพลาสติก จำนวน 5 มิลลิลิตร
2. หยดน้ำยาทดสอบจำนวน 1-2 หยด ลงในถ้วยเขย่าให้เข้ากัน
การประเมินผล
1. ของเหลวมีสีเทา หรือสีดำ แสดงว่าอาหารมีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (ไม่ควรรับประทาน)
2. ถ้าของเหลวมีสีฟ้าอ่อน หรือสีเขียว แสดงว่าอาหารไม่มีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์
ข้อควรระวัง
ความรู้เกี่ยวกับสารฟอร์มาลีนหรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์
ฟอร์มาลีนหรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์
ชื่อทางเคมี (Chemical Name): ฟอร์มาลดีไฮด์
(Formaldehyde)
หมายเลข CAS Registry (CAS Registry Number): 000050-00-0
ชื่อพ้อง (Synonyms): Formaldehyde; Formalin; Methanal; Formic aldehyde; Methaldehyde
ชื่อ IUPAC (IUPAC Name): Formaldehyde
หมายเลข CAS (CAS Number): 8013-13-6
น้ำหนักโมเลกุล (molecular formula): 30.03
สูตรเคมี (Chemical Formula): CH2O ฟอร์มาลิน หรือ สารละลายฟอร์มาลดีไฮด์ หมายถึงสารละลายที่ประกอบด้วยแก๊ส ฟอร์มาลดีไฮด์ประมาณร้อยละ 37-40 (ในน้ำ) มีเมทานอลปนอยู่ประมาณร้อยละ 10-15 เพื่อป้องกันไม่ให้ฟอร์มาลินเปลี่ยนรูปไปเป็นโพลิเมอร์พาราฟอร์มาดีไฮด์ซึ่ง เป็นพิษมากกว่าฟอร์มาลินมาก มีลักษณะเป็นของเหลวใส ไม่มีสี แต่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวเป็นสารรีดิวซ์รุนแรง เมื่อสัมผัสกับอากาศจะถูกออกซิไดส์ช้า ๆ ไปเป็นกรดฟอร์มิกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน มีค่า pH ประมาณ 2.8-4.0 สามารถรวมตัวได้กับน้ำ แอลกอฮอล์ แต่ฟอร์มาลินไม่สามารถใช้ร่วมกับสารดังต่อไปนี้ คือ ด่างทับทิม ไอโอดีน และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ถ้าเป็นฟอร์มาลินที่เก็บไว้นานหรือเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40 องศาฟาเรนไฮต์ ( 4.4 องศาเซลเซียส ) ฟอร์มาลินจะเปลี่ยนรูปไปเป็น พาราฟอร์มาดีไฮด์ ซึ่งมีลักษณะเป็นตะกอนสีขาวจึงไม่ควรนำไปใช้ เพราะจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ มักใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น พลาสติก เคมีภัณฑ์ สิ่งทอ ใช้รักษาผ้าไม่ให้ยับย่น หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักฟอร์มาลีน ว่าเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค หรือเป็นน้ำยาดองศพผู้จำหน่ายอาหารบางราย นำน้ำยาดองศพมาแช่อาหารทะเล และผักสด เพื่อให้สดอยู่เสมอ
อาหารที่มักตรวจพบฟอร์มาลีน อาทิเช่น อาหารทะเลสด ผักสดต่าง ๆ และเนื้อสัตว์สด เป็นต้น โดยผู้ที่นำไปใช้เข้าใจว่าจะช่วยให้อาหารไม่เน่าเสียเร็ว เก็บได้นาน
พิษของฟอร์มาลีน เมื่อได้รับฟอร์มาลีนเกินขนาด ๓๐-๖๐ มิลลิลิตร จะเกิดพิษเฉียบพลัน มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียน ท้องเดิน หมดสติ และเสียชีวิตได้หากได้รับฟอร์มาลีนในปริมาณน้อย มีผลเสียต่อการทำงานของตับ ไต หัวใจ และสมองเสื่อมลงหากสัมผัสจะมีอาการระคายเคืองผิวหนัง ปวดแสบปวดร้อน หากสูดดมจะมีอาการเคืองตา จมูก และคอปวดแสบปวดร้อน

การใช้ประโยชน์
ฟอร์มาลินเป็นสารที่นิยมใช้กันในหลายด้าน ดังนี้
1. ด้านการแพทย์ - ใช้ในการเก็บรักษา anatomical specimens เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย
- ใช้สารละลายฟอร์มาลินสำหรับฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องฟอกเลือด (เครื่องล้างไต) เครื่องมือเครื่องใช้ในการเตรียมและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน
- นอกจากนี้ ไอระเหยของฟอร์มาดีไฮด์สามารถนำมาอบห้องฆ่าเชื้อโรคตามโรงพยาบาลได้ด้วย
- สารละลายฟอร์มาลินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา
2. เครื่องสำอาง
- ใช้ในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก
- ใช้ในเครื่องสำอางเพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก
- ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว และอื่นๆ
- ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูที่ใช้สำหรับสัตว์เลี้ยง
3. ด้านอุตสาหกรรม
- สารประกอบเชิงซ้อนของฟอร์มาลินมีคุณสมบัติทำให้ผ้า และกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ด หรือไม้อัด ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อผลิตผงที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหม สังเคราะห์ ใช้ในการรักษาผ้า ไม่ให้ยับ หรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้
- ฟอร์มาลินมีประโยชน์ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นอีกมากมาย ที่ใช้มากคือนำไปทำเม็ดพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกกันว่า ยูเรีย-ฟอร์มัลดีไฮด์ (urea – formaldehyde) หรือ ฟีนอล-ฟอร์มัลดีไฮด์ (phenol – formaldehyde) ที่ใช้เป็นกาวสำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ใช้ทำโฟมเพื่อเป็นฉนวน เป็นต้น และใช้ในการผลิตเรซิน (melamine – formaldehyde)
- ใช้ในการสังเคราะห์สีต่างๆ เช่น สีคราม สีแดง สีอะครีลิก
- ใช้ในการย้อมเพื่อปรับปรุงให้สีและสีย้อมติดแน่นขึ้น
- ใช้ในการฟอกสีและการพิมพ์ และฟอกหนัง เป็นต้น
- ใช้ในการผสมโลหะ เพื่อระงับการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน
- ใช้สำหรับถ่ายภาพ ทำให้เก็บรักษาได้นาน
4. ด้านการเกษตร - ใช้สำหรับการทำลายและป้องกันจุลินทรีย์และต้นไม้ที่เป็นโรค
- ใช้ป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา
- ใช้ฆ่าเชื้อ ฆ่าเชื้อราในดิน
- ใช้ทำความสะอาดสถานที่เก็บอุปกรณ์ เช่น ลังไม้
- ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย
- ใช้เป็นปุ๋ย
- ใช้ในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อป้องกันการเกิดโรคในปลา
1. ด้านการแพทย์ - ใช้ในการเก็บรักษา anatomical specimens เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย
- ใช้สารละลายฟอร์มาลินสำหรับฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องฟอกเลือด (เครื่องล้างไต) เครื่องมือเครื่องใช้ในการเตรียมและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน
- นอกจากนี้ ไอระเหยของฟอร์มาดีไฮด์สามารถนำมาอบห้องฆ่าเชื้อโรคตามโรงพยาบาลได้ด้วย
- สารละลายฟอร์มาลินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา
2. เครื่องสำอาง
- ใช้ในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก
- ใช้ในเครื่องสำอางเพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก
- ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว และอื่นๆ
- ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูที่ใช้สำหรับสัตว์เลี้ยง
3. ด้านอุตสาหกรรม
- สารประกอบเชิงซ้อนของฟอร์มาลินมีคุณสมบัติทำให้ผ้า และกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ด หรือไม้อัด ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อผลิตผงที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหม สังเคราะห์ ใช้ในการรักษาผ้า ไม่ให้ยับ หรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้
- ฟอร์มาลินมีประโยชน์ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นอีกมากมาย ที่ใช้มากคือนำไปทำเม็ดพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกกันว่า ยูเรีย-ฟอร์มัลดีไฮด์ (urea – formaldehyde) หรือ ฟีนอล-ฟอร์มัลดีไฮด์ (phenol – formaldehyde) ที่ใช้เป็นกาวสำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ใช้ทำโฟมเพื่อเป็นฉนวน เป็นต้น และใช้ในการผลิตเรซิน (melamine – formaldehyde)
- ใช้ในการสังเคราะห์สีต่างๆ เช่น สีคราม สีแดง สีอะครีลิก
- ใช้ในการย้อมเพื่อปรับปรุงให้สีและสีย้อมติดแน่นขึ้น
- ใช้ในการฟอกสีและการพิมพ์ และฟอกหนัง เป็นต้น
- ใช้ในการผสมโลหะ เพื่อระงับการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน
- ใช้สำหรับถ่ายภาพ ทำให้เก็บรักษาได้นาน
4. ด้านการเกษตร - ใช้สำหรับการทำลายและป้องกันจุลินทรีย์และต้นไม้ที่เป็นโรค
- ใช้ป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา
- ใช้ฆ่าเชื้อ ฆ่าเชื้อราในดิน
- ใช้ทำความสะอาดสถานที่เก็บอุปกรณ์ เช่น ลังไม้
- ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย
- ใช้เป็นปุ๋ย
- ใช้ในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อป้องกันการเกิดโรคในปลา
วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากฟอร์มาลีน
ก่อนจะซื้อผักสด อาหารทะเลสด ปลาแห้ง และอาหารที่สงสัยว่าจะมีฟอร์มาลีน ให้ตรวจสอบโดยการดมกลิ่น ถ้ามีกลิ่นฉุนแสดงว่ามีฟอร์มาลีน เนื่องจากฟอร์มาลีนมีกลิ่นฉุนมากถ้าเป็นผักสดให้สังเกตว่าผักสดที่แอบแช่ฟอร์มาลีน เมื่อถูกแสงแดดและลมตลอดทั้งวัน จะไม่เหี่ยว หรือเนื้อสัตว์มีสีเข้มและสดผิดปกติทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แช่เย็นอาจเกิดจากแช่ฟอร์มาลีนชุดทดสอบสารฟอร์มาลีน
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ผลิตชุดทดสอบสารฟอร์มาลีนด้วยวิธีการอย่างง่าย คุณสมบัติของชุดทดสอบ ตรวจสอบการใช้น้ำยาดองศพในผักสด อาหารทะเล


ชุดทดสอบสารฟอร์มาลีน
ฟอร์มาลีนในผ้าชี้ริ้วและปลาหมึกกรอบ
จากการตรวจสอบอาหารในตลาดสด ในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๔๘ ตัวอย่างพบฟอร์มาลีนในผ้าชี้ริ้ววัว ๓ ตัวอย่าง จากการสุ่มตรวจ๔ ตัวอย่าง พบฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบซึ่งนิยมใส่ในเย็นตาโฟ ๒ ตัวอย่าง จากการสุ่มเก็บ ๖ ตัวอย่าง ภายหลังมีการสุ่มตรวจซ้ำทั้งหมด ๓๙ ตัวอย่าง ประกอบด้วย ปลาหมึกกรอบ ผักกาดดอง ถั่วงอก เห็ดฟาง ยำเล็บมือนาง (ตีนไก่) หมูบด พริกแกง และผ้าขี้ริ้ว ผลการตรวจด้วยชุดทดสอบสารปนเปื้อนในอาหารพบฟอร์มาลีนในปลาหมึก ๒ ตัวอย่าง
การทดสอบสารฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบ
ปลาหมึกที่ไม่ได้แช่ฟอร์มาลีนน้ำยาทดสอบจะไม่เปลี่ยนสี แต่ถ้าแช่สารฟอร์มาลีนน้ำยาทดสอบจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
ไม่ได้แช่สารฟอร์มาลีน แช่สารฟอร์มาลีน
ตัวอย่าง อาหารที่มีฟอร์มาลีนปนเปื้อน

เย็นตาโฟ ยำเล็บมือนาง
ยำผ้าขี้ริ้ว อาหารทะเล
การตรวจพบการปนเปื้อนซ้ำอีก จะต้องดำเนินคดีทันที ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายมีโทษตามกฎหมายฐานจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ มีโทษปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท โทษจำคุกไม่เกิน ๒ ปี หรือทั้งจำและปรับ
สำหรับสารกำจัดศัตรูพืชยังพบการปนเปื้อนในปริมาณค่อนข้างสูง เฉลี่ยพบร้อยละ ๓.๓๕ พบตกค้างในผักประเภทมะเขือเปราะ ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ถั่วฝักยาว และผักอื่นๆ จึงต้องสุ่มตรวจตามตลาดต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั่วทุกภาคของไทยมีสถานการณ์คล้ายกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)