วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สิทธิผู้บริโภค 5 ประการ


                  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้ความสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภค โดยบัญญัติถึงสิทธิ
ของผู้บริโภคไว้ในมาตรา 57 ว่า"สิทธิของบุคคลซึ่งเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ"
                  พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2541 ได้บัญญัติสิทธิของผู้ บริโภคที่จะได้รับความคุ้มครอง
ตามกฎหมาย 5 ประการ ดังนี้
                  1. สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้องและเพียงพอเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่ จะได้รับการโฆษณาหรือการ
แสดงฉลากตามความเป็นจริงและปราศจากพิษภัยแก่ผู้บริโภค รวมตลอดถึงสิทธิที่จะได้รับทราบ ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการอย่างถูกต้องและเพียงพอที่จะ
ไม่หลงผิด ในการซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยไม่เป็นธรรม 

                  2. สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือรับบริการโดยความ สมัครใจของผู้บริโภค และปราศจากการ
ชักจูงใจอันไม่เป็นธรรม 

                  3. สิทธิที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าหรือบริการ ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับสินค้าหรือบริการที่ปลอดภัย มีสภาพและคุณภาพได้มาตรฐาน
เหมาะสมแก่การใช้ ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกายหรือทรัพย์สิน ในกรณีใช้ตามคำแนะนำหรือระมัดระวังตามสภาพของสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว 

                  4. สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมในการทำสัญญา ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับข้อสัญญาโดยไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบธุรกิจ 

                  5. สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสียหาย ได้แก่ สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองและชดใช้ค่าเสียหาย เมื่อมีการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
ตามข้อ 1, 2, 3 และ 4 ดังกล่าว
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคนไทย

“อาหารคือตัวเรา”  นี่คือคำกล่าวที่ไม่สามารถปฏิเสธได้   เพราะสิ่งต่าง ๆ ที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวเอราล้วนมาจากอาหารที่กินเข้าไป  เริ่มตั้งแต่อยู่ในท้องแม่  เราได้อาหารจากแม่เพื่อไปสร้างโครงสร้างเลือดเนื้อจนกระทั่งคลอดออกมาเป็นทารก  และเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ  เราต้องกินอาหารทุกวัน  เพราะอาหารไม่เพียงแต่จะนำไปประกอบเป็นส่วนต่าง ๆของร่างกายเท่านั้น  แต่ยังทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้อย่างเป็นสุข  ถ้ามีภาวะโภชนาการที่ดี    (หมายถึงการกินที่ถูกต้อง)  แต่ถ้าหากกินอาหารไม่ถูกหลักหรือไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดปัญหาภาวะโภชนาการได้ในปัจจุบันนี้  คนไทยยังประสบปัญหาโภชนาการอยู่มาก  ไม่ว่าจะเป็นการขาดสารอาหาร  เช่น  ขาดสารไอโอดีน  โรคโลหิตจาง  ฯลฯ  เป็นต้น  โรคเหล่านี้ทำให้เด็กมีความเจริญเติบโตช้า  และมีพัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองผิดปกติ  เจ็บป่วยง่าย  ไม่ใช่แต่เด็กอย่างเดียว  ผู้ใหญ่ก็มีผลทำให้ร่างกายอ่อนแอ  สมรรถภาพทางร่างกดายในการทำงานต่ำ  ในขณะเดียวกันถ้าภาวะโภชนาการเกิน  ก็จะเป็นปัญหาเหมือนกัน  เช่น  โรคอ้วน  เบาหวาน  หัวใจขาดเลือด  มะเร็ง  ฯลฯ  เป็นต้น  ซึ่งล้วนแต่เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยและเสียชีวิตได้  ปัญหาทางด้านโภชนาการของคนไทยนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ  แต่หนึ่งในสาเหตุสำคัญ  คือคนไทยส่วนมากยังไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ถูกต้อง  จึงทำให้ขาดความรู้และความคิดที่ดีต่อการกินอาหาร  เพื่อการมีภาวะโภชนาการและสุขอนามัยที่ดีี้

    การดูแลสุขภาพเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ต้องรู้จักการกินอาหารเป็นสิ่งสำคัญ รองลงมาคือการออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้ทางกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสถาบันวิจัยโภชนาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านอาหารและโภชนาการ จึงได้จัดทำ “ข้อปฏิบัติในการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี 9 ข้อ หรือโภชนบัญญัติ 9 ประการ” เพื่อเผยแพร่ให้ใช้ยึดเป็นแนวทางในการกินอาหารให้หถูกต้องตามหลักโภชนาการ

    โภชนบัญญัติ 9 ประการ ประกอบด้วย

    1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่ละหมู่ให้หลากกลายและหมั่นดูแลน้ำหนักตัว เพื่อให้สารอาหารที่ ร่างกายต้องการอย่างครคบถ้วนและมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานไม่อ้วนหรือผอมเกินไป
    2. กินข้าวเป็นหลักสลับกับอาหารแป้งในบางมื้อ เลือกกินข้าวกล้องแทนข้าวขาวและได้คุณค่าและใยอาหารมากกว่า
    3. กินผักให้มาก และกินผลไม้ประจำ กินผักและผลไม้ทุกมื้อ จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคและต้านโรคมะเร็งได้
    4. กินปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ และถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำ ปลาเป็นโปรตีนคุณภาพดี และย่อยง่าย เป็นอาหารที่หาง่าย ถั่วเมล็ดแห้งเป็นโปรตีนจากพืชที่ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้
    5. ดื่มนมให้เหมาะสมกับวัย นมช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง เด็กควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มนมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว
    6. กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร กินอาหารประเภททอด ผัด หรือแกงกะทิ แต่พอควร เลือกกินอาหาร ประเภท ต้ม นึ่ง ย่าง (ที่ไม่ไหม้เกรียม) แกงไม่ใส่กะทะเป็นประจำ
    7. หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด กินหวานมากเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และหลอดเลือด กินเค็มจัดเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง
    8. กินอาหารที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน อาหารที่ไม่สุกและปนเปื้อนเชื้อโรคและสารเคมี เช่น สารบอแร็กซ์ สารเร่งสี สารกันเชื้อรา สารฟอกขาว สารฆ่าแมลง ฟอร์มาลิน ทำให้เกิดโรคได้
    9. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เพราะทำให้มีความเสียงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคตับแข็ง โรคมะเร็งในหลอดอาหาร และโรคร้ายอีกมาก

    โภชนบัญญัติทั้ง 9 ประการนี้ ต้องปฏิบัติต่อเนื่อง และทำให้ได้ครบทั้ง 9 ประการ

    การจะมีโภชนาการที่ดีและสุขภาพที่ดี คุณภาพชีวิตที่ดี ต้องคำนึงถึงหลักใหญ่ ดังนี้
    1. กินอาหารและปฏิบัติตามโภชนบัญญัติทั้ง 9 ข้อ
    2. ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ
    3. ผ่อนคลายจิตใจ
    4. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษภัย เช่น บุหรี่ เหล้า และสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ

    หลักในการจัดอาหารที่กินใน 1 วัน เป็นเมนูสุขภาพ (กรณีปรุงอาหารเอง)

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

มารู้จักกับอย.น้อยกันเถอะคะ


อย. น้อย

โครงการ อย. น้อย

 อย.น้อย ถือกำเนิดขึ้นในปี 2545 ในลักษณะโครงการนำร่อง แต่มีการดำเนินการอย่าง จริงจังในปี 2546 โดยมีโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จัดตั้งชมรมคุ้มครองผู้บริโภคในโรงเรียน และทำกิจกรรม อย.น้อย จังหวัดละ 5 โรงเรียน จากนั้นในปี 2547 ได้ขยายกิจกรรม ให้ครอบคลุม โรงเรียนระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ทั้งโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โรงเรียนเอกชน และโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร รวม 10,256 โรงเรียน มีสมาชิกมากกว่า 1 ล้านคน
 วัตถุประสงค์ในการทำโครงการ อย.น้อย ก็เพื่อให้นักเรียนมีการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง และได้ช่วยเหลือเพื่อน ๆ ครอบครัว และชุมชน ด้วยการให้ความรู้การบริโภคอย่างเหมาะสม ปลอดภัย กิจกรรมที่ อย.น้อย ทำ ได้แก่ การตรวจสอบอาหารที่จำหน่ายภายใน/รอบๆ โรงเรียน และตลาดสดหรือชุมชนใกล้เคียง ด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น เช่น ชุดทดสอบบอแรกซ์ ฟอร์มาลิน สารกันรา สารฟอกขาว จุลินทรีย์ในน้ำ เป็นต้น การให้ความรู้แก่เพื่อนนักเรียนในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บอร์ดความรู้ เสียงตามสาย พูดหน้าเสาธง กิจกรรมการแสดง รายการทางโทรทัศน์วงจรปิด เป็นต้น การรณรงค์ให้ความรู้ในชุมชน เช่น การเดินรณรงค์ การแจกเอกสารความรู้ การให้ความรู้ทางหอกระจายข่าวหรือวิทยุชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการบูรณาการความรู้ด้านอาหารและยาเข้าไปกับหลักสูตรการเรียนการสอน และอย.น้อย ยังเอื้ออาทรไปยังโรงเรียน ระดับประถมศึกษาที่อยู่ใกล้เคียง ด้วยการไปให้ความรู้และการตรวจสอบอาหารให้ด้วย ในลักษณะ “พี่สอนน้อง”
 การทำกิจกรรม นอกจาก อย.น้อย จะได้รับความรู้ด้านการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพอย่างถูกต้องและปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้เพื่อนนักเรียน และครอบครัวมีความรู้ และเกิดการพัฒนา ปรับปรุงการจำหน่ายอาหารภายในโรงเรียน รวมทั้งการปรับปรุงสถานที่จำหน่ายอาหารให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ นักเรียน อย.น้อย ยังได้รับการพัฒนาเรื่องการคิด การวางแผนการทำงาน การแสดงออก และการสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อน อย.น้อย โรงเรียนอื่น ๆ ทำให้เกิดเป็นเครือข่ายขึ้น
 กิจกรรม อย.น้อย ยังก่อให้เกิดความร่วมมือที่ดีในระดับชุมชน เช่น เกิดความร่วมมือระหว่างนักเรียน ครู พ่อค้า แม่ค้า อสม. อบต. โรงพยาบาลชุมชน สาธารณสุขอำเภอ เป็นต้น มีการช่วยเหลือกันทั้งด้านงบประมาณ การร่วมดำเนินงาน และทรัพยากร เช่น งบสนับสนุนจาก อบต. การร่วมตรวจสอบอาหาร การอนุญาตให้ใช้หอกระจายข่าว/วิทยุชุมชน เป็นต้น
 ในปี 2549 จะเน้นการทำกิจกรรมในลักษณะเครือข่ายให้มากขึ้น และจะส่งเสริมให้เกิดการเอื้ออาทรโรงเรียนระดับที่เล็กกว่าในลักษณะ “อย.น้อยสอนน้อง” โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปี 2549 จะมีโรงเรียนระดับประถมศึกษาทั่วประเทศได้รับการเอื้ออาทรลักษณะ “อย.น้อย สอนน้อง” ไม่น้อยกว่า 5,000 โรงเรียน และจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความปลอดภัยด้านอาหารในพื้นที่ โดยสนับสนุนให้ อย.น้อย ได้ดูงานสถานที่ผลิตอาหารในชุมชน เพื่อได้เรียนรู้กรรมวิธีการผลิตและการควบคุมคุณภาพอาหารจากของจริง และยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ผลิตเกิดความตระหนักและพัฒนาปรับปรุงสถานที่ของตน และจะพัฒนาศักยภาพของ อย.น้อยให้สามารถตรวจประเมินโรงอาหารเพื่อพัฒนาโรงอาหารภายในโรงเรียนให้ถูกสุขลักษณะและจำหน่ายอาหารที่มีความปลอดภัย เพื่อลดการเกิดโรคอาหารเป็นพิษภายในโรงเรียน นอกจากนี้จะส่งเสริมให้โรงเรียนอาชีวะศึกษาทำกิจกรรม อย.น้อย โดยใช้ชื่อว่า “อย.อาชีวะ” ซึ่งในปี 2549 จะดำเนินการใน 26 สถานศึกษา โดยได้สนับสนุนงบประมาณการทำกิจกรรมไปแต่ละสถานศึกษาแล้ว และจะดำเนินการอบรมแกนนำ อย.อาชีวะ เพื่อทำกิจกรรม โดยจะมีการตรวจเยี่ยมและประเมินผล และจะพัฒนาให้บางสถานศึกษาเป็นศูนย์การเรียนรู้สำหรับสถานศึกษาอื่น ๆ ในด้านการผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์ จี.เอ็ม.พี. ในปี 2550 จะขยายผลไปสู่โรงเรียนอาชีวะศึกษาทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 200 แห่ง
 การดำเนินโครงการ อย.น้อย จะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการบริโภคของเด็กและเยาวชน ให้เป็นผู้บริโภคที่สามารถเลือกซื้อเลือก บริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพได้ อย่างเหมาะสม ถูกต้อง และปลอดภัย อันจะส่งผลต่อการลดอัตราการเจ็บป่วยของประชาชน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

การทดสอบสารฟอกขาวในอาหาร

การทดสอบสารฟอกขาวในอาหาร

             การบริโภคอาหารที่มี โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบันกระทรวง สาธารณสุขยังไม่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขในการควบคุมการใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ในอาหารแต่มีการควบคุมเฉพาะสารในกลุ่มซัลไฟต์(สารฟอกขาว) เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์และโซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ ซึ่งอนุญาตให้ใช้ตามประกาศ ฯ ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527) เรื่องวัตถุเจือปนอาหารแต่ปัจจุบันยังคงตรวจพบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนในอาหารหลายชนิด     ผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ
 ผลกระทบต่อสุขภาพ
     ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต
 
โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(สารฟอกขาว) ในอาหาร ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ

อาหารที่มักตรวจพบ
       ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
ผลกระทบต่อสุขภาพ
- ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ
- ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง    
*  ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต                                                                                                                                    
 ตัวอย่างอาหาร
- น้ำตาลมะพร้าว หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน
- น้ำแช่ผักผลไม้ เช่น ถั่วงอก กระท้อน

              
ขั้นตอนการทดสอบ
1.     ถ้าอาหารเป็นของเหลว ให้เทตัวอย่างของเหลว นั้นลงในถ้วยพลาสติก จำนวน 5 มิลลิลิตร
2.     หยดน้ำยาทดสอบจำนวน 1-2 หยด ลงในถ้วยเขย่าให้เข้ากัน
การประเมินผล
1.     ของเหลวมีสีเทา หรือสีดำ แสดงว่าอาหารมีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (ไม่ควรรับประทาน)
2.     ถ้าของเหลวมีสีฟ้าอ่อน หรือสีเขียว แสดงว่าอาหารไม่มีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์
ข้อควรระวัง


             การบริโภคอาหารที่มี โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนจะทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ปัจจุบันกระทรวง สาธารณสุขยังไม่มีประกาศกระทรวงสาธารณสุขในการควบคุมการใช้โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ในอาหารแต่มีการควบคุมเฉพาะสารในกลุ่มซัลไฟต์(สารฟอกขาว) เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์โซเดียมซัลไฟต์ โซเดียมไบซัลไฟต์และโซเดียมเมตาไบซัลไฟต์ ซึ่งอนุญาตให้ใช้ตามประกาศ ฯ ฉบับที่ 84 (พ.ศ. 2527) เรื่องวัตถุเจือปนอาหารแต่ปัจจุบันยังคงตรวจพบโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์เจือปนในอาหารหลายชนิด     ผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ
 ผลกระทบต่อสุขภาพ
     ทำให้หายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยโรคหืดหอบ จะมีอาการช็อคหมดสติและเสียชีวิต
 
โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์(สารฟอกขาว) ในอาหาร ผลิตและผู้จำหน่ายอาหารบางรายได้นำผงเคมีที่ใช้ฟอกแห (โซเดียมไดไทโอไนต์ หรือ โซเดียมไฮโดรซัลไฟต์) มาใช้ในอาหาร เพื่อให้อาหารมีสีขาว ดูคุณภาพดี แต่สารฟอกแหนี้มีอันตรายต่อสุขภาพ

อาหารที่มักตรวจพบ
       ผัก/ผลไม้สดและแปรรูป เช่น ถั่วงอก ขิงหั่นฝอย ขิงดอง ผลไม้ดอง ผักดอง หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน สับปะรดกวน ผลไม้อบแห้ง เป็นต้น
ผลกระทบต่อสุขภาพ
- ทำให้เกิดอาการหายใจขัด ความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ
- ปวดท้อง อาเจียน อุจจาระร่วง    
*  ผู้ที่แพ้อย่างรุนแรงหรือผู้ป่วยหอบหืดจะมีอาการช็อค หมดสติและเสียชีวิต                                                                                                                                    
 ตัวอย่างอาหาร
- น้ำตาลมะพร้าว หน่อไม้ดอง ทุเรียนกวน
- น้ำแช่ผักผลไม้ เช่น ถั่วงอก กระท้อน

              
ขั้นตอนการทดสอบ
1.     ถ้าอาหารเป็นของเหลว ให้เทตัวอย่างของเหลว นั้นลงในถ้วยพลาสติก จำนวน 5 มิลลิลิตร
2.     หยดน้ำยาทดสอบจำนวน 1-2 หยด ลงในถ้วยเขย่าให้เข้ากัน
การประเมินผล
1.     ของเหลวมีสีเทา หรือสีดำ แสดงว่าอาหารมีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์ (ไม่ควรรับประทาน)
2.     ถ้าของเหลวมีสีฟ้าอ่อน หรือสีเขียว แสดงว่าอาหารไม่มีสารโซเดียมไฮโดรซัลไฟต์
ข้อควรระวัง

ความรู้เกี่ยวกับสารฟอร์มาลีนหรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์


ฟอร์มาลีนหรือสารละลายฟอร์มาลดีไฮด์
ชื่อทางเคมี (Chemical Name):  ฟอร์มาลดีไฮด์
(Formaldehyde)

หมายเลข CAS Registry (CAS Registry Number): 000050-00-0

ชื่อพ้อง (Synonyms): Formaldehyde; Formalin; Methanal; Formic aldehyde; Methaldehyde

ชื่อ IUPAC (IUPAC Name): Formaldehyde

หมายเลข CAS (CAS Number): 8013-13-6

น้ำหนักโมเลกุล (molecular formula): 30.03

สูตรเคมี (Chemical Formula): CH2O
          ฟอร์มาลิน  หรือ  สารละลายฟอร์มาลดีไฮด์  หมายถึงสารละลายที่ประกอบด้วยแก๊ส ฟอร์มาลดีไฮด์ประมาณร้อยละ 37-40 (ในน้ำ) มีเมทานอลปนอยู่ประมาณร้อยละ 10-15 เพื่อป้องกันไม่ให้ฟอร์มาลินเปลี่ยนรูปไปเป็นโพลิเมอร์พาราฟอร์มาดีไฮด์ซึ่ง เป็นพิษมากกว่าฟอร์มาลินมาก  
 มีลักษณะเป็นของเหลวใส  ไม่มีสี  แต่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัวเป็นสารรีดิวซ์รุนแรง เมื่อสัมผัสกับอากาศจะถูกออกซิไดส์ช้า ๆ ไปเป็นกรดฟอร์มิกซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อน มีค่า pH ประมาณ 2.8-4.0    สามารถรวมตัวได้กับน้ำ  แอลกอฮอล์   แต่ฟอร์มาลินไม่สามารถใช้ร่วมกับสารดังต่อไปนี้ คือ ด่างทับทิม ไอโอดีน และไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ถ้าเป็นฟอร์มาลินที่เก็บไว้นานหรือเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 40 องศาฟาเรนไฮต์ ( 4.4 องศาเซลเซียส ) ฟอร์มาลินจะเปลี่ยนรูปไปเป็น พาราฟอร์มาดีไฮด์ ซึ่งมีลักษณะเป็นตะกอนสีขาวจึงไม่ควรนำไปใช้ เพราะจะเป็นอันตรายต่อสัตว์น้ำ มักใช้ในอุตสาหกรรมหลายชนิด  เช่น  พลาสติก  เคมีภัณฑ์  สิ่งทอ  ใช้รักษาผ้าไม่ให้ยับย่น หลาย ๆ  คนอาจจะรู้จักฟอร์มาลีน ว่าเป็นน้ำยาฆ่าเชื้อโรค  หรือเป็นน้ำยาดองศพผู้จำหน่ายอาหารบางราย  นำน้ำยาดองศพมาแช่อาหารทะเล  และผักสด  เพื่อให้สดอยู่เสมอ
อาหารที่มักตรวจพบฟอร์มาลีน
  อาทิเช่น  อาหารทะเลสด  ผักสดต่าง ๆ  และเนื้อสัตว์สด  เป็นต้น  โดยผู้ที่นำไปใช้เข้าใจว่าจะช่วยให้อาหารไม่เน่าเสียเร็ว  เก็บได้นาน
พิษของฟอร์มาลีน
    เมื่อได้รับฟอร์มาลีน
เกินขนาด  ๓๐-๖๐ มิลลิลิตร  จะเกิดพิษเฉียบพลัน  มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง  อาเจียน ท้องเดิน หมดสติ  และเสียชีวิตได้หากได้รับฟอร์มาลีนในปริมาณน้อย  มีผลเสียต่อการทำงานของตับ  ไต  หัวใจ  และสมองเสื่อมลงหากสัมผัสจะมีอาการระคายเคืองผิวหนัง  ปวดแสบปวดร้อน  หากสูดดมจะมีอาการเคืองตา  จมูก  และคอปวดแสบปวดร้อน                                             

การใช้ประโยชน์

         ฟอร์มาลินเป็นสารที่นิยมใช้กันในหลายด้าน ดังนี้
      1. ด้านการแพทย์
             - ใช้ในการเก็บรักษา anatomical specimens เพื่อคงสภาพของเนื้อเยื่อไม่ให้เน่าเสีย

            - ใช้สารละลายฟอร์มาลินสำหรับฆ่าเชื้อโรคในเครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องฟอกเลือด (เครื่องล้างไต) เครื่องมือเครื่องใช้ในการเตรียมและสังเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยา วัคซีน

             - นอกจากนี้ ไอระเหยของฟอร์มาดีไฮด์สามารถนำมาอบห้องฆ่าเชื้อโรคตามโรงพยาบาลได้ด้วย

             - สารละลายฟอร์มาลินมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา
      2. เครื่องสำอาง
             - ใช้ในยาสีฟัน ยาบ้วนปาก สบู่ ครีมโกนหนวด เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยใช้เป็นส่วนประกอบในความเข้มข้นที่ต่ำมาก
            
- ใช้ในเครื่องสำอางเพื่อไม่ให้เหงื่อออกมาก
            
- ใช้ในน้ำยาดับกลิ่นตัว และอื่นๆ
            
- ใช้เป็นส่วนประกอบของแชมพูที่ใช้สำหรับสัตว์เลี้ยง
      3. ด้านอุตสาหกรรม
             - สารประกอบเชิงซ้อนของฟอร์มาลินมีคุณสมบัติทำให้ผ้า และกระดาษแข็งเกาะกัน จึงนำมาใช้ในการทำบอร์ด หรือไม้อัด ใช้ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อผลิตผงที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงลักษณะน้ำหนักและความแข็งแรงของไหม สังเคราะห์ ใช้ในการรักษาผ้า ไม่ให้ยับ หรือย่น ในอุตสาหกรรมกระดาษ เพื่อให้กระดาษลื่นและกันน้ำได้

            
- ฟอร์มาลินมีประโยชน์ใช้เป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์อื่นอีกมากมาย ที่ใช้มากคือนำไปทำเม็ดพลาสติกชนิดต่าง ๆ ที่มีชื่อเรียกกันว่า ยูเรีย-ฟอร์มัลดีไฮด์ (urea – formaldehyde) หรือ ฟีนอล-ฟอร์มัลดีไฮด์ (phenol – formaldehyde) ที่ใช้เป็นกาวสำหรับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ใช้ทำโฟมเพื่อเป็นฉนวน เป็นต้น และใช้ในการผลิตเรซิน (melamine – formaldehyde)
            
- ใช้ในการสังเคราะห์สีต่างๆ เช่น สีคราม สีแดง สีอะครีลิก
            
- ใช้ในการย้อมเพื่อปรับปรุงให้สีและสีย้อมติดแน่นขึ้น
            
- ใช้ในการฟอกสีและการพิมพ์ และฟอกหนัง เป็นต้น
            
- ใช้ในการผสมโลหะ เพื่อระงับการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน
            
- ใช้สำหรับถ่ายภาพ ทำให้เก็บรักษาได้นาน
      4. ด้านการเกษตร
             - ใช้สำหรับการทำลายและป้องกันจุลินทรีย์และต้นไม้ที่เป็นโรค
            
- ใช้ป้องกันผลิตผลเกษตรจากการเสียหายระหว่างการขนส่ง และการเก็บรักษา
            
- ใช้ฆ่าเชื้อ ฆ่าเชื้อราในดิน
            
- ใช้ทำความสะอาดสถานที่เก็บอุปกรณ์ เช่น ลังไม้
         
- ใช้เป็นส่วนผสมของสารละลายที่ใช้เคลือบผัก ผลไม้จำพวกส้มระหว่างการเก็บเกี่ยวเพื่อชะลอการเน่าเสีย
            
- ใช้เป็นปุ๋ย
             - ใช้ในบ่อเลี้ยงปลาเพื่อป้องกันการเกิดโรคในปลา
 
 วิธีหลีกเลี่ยงอันตรายจากฟอร์มาลีน
ก่อนจะซื้อผักสด
  อาหารทะเลสด  ปลาแห้ง  และอาหารที่สงสัยว่าจะมีฟอร์มาลีน  ให้ตรวจสอบโดยการดมกลิ่น ถ้ามีกลิ่นฉุนแสดงว่ามีฟอร์มาลีน เนื่องจากฟอร์มาลีนมีกลิ่นฉุนมากถ้าเป็นผักสดให้สังเกตว่าผักสดที่แอบแช่ฟอร์มาลีน  เมื่อถูกแสงแดดและลมตลอดทั้งวัน  จะไม่เหี่ยว  หรือเนื้อสัตว์มีสีเข้มและสดผิดปกติทั้ง ๆ ที่ไม่ได้แช่เย็นอาจเกิดจากแช่ฟอร์มาลีนชุดทดสอบสารฟอร์มาลีน

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ผลิตชุดทดสอบสารฟอร์มาลีนด้วยวิธีการอย่างง่าย  คุณสมบัติของชุดทดสอบ  ตรวจสอบการใช้น้ำยาดองศพในผักสด  อาหารทะเล
 
               ชุดทดสอบคุณภาพ และตรวจสอบการใช้น้ำยาดองศพในผักสด อาหารทะเลสด เวลาที่ใช้ในการทดสอบ 5 นาที ระดับต่ำสุดที่สามารถตรวจได้ 0.5 มิลลิกรัม / กิโลกรัม ความปลอดภัยด้านอาหาร คุณสมบัติของชุดทดสอบ test kti diagnostic screening chemical ชุดทดสอบ สสจ อบต สาธารณสุข ชุดตรวจ ซื้อ ขาย ชุดทดสอบ...ฟอร์มาลิน(น้ำยาดองศพ) อาหารที่มักตรวจพบ     

                      
                                    ชุดทดสอบสารฟอร์มาลีน
   
              
ฟอร์มาลีนในผ้าชี้ริ้วและปลาหมึกกรอบ


จากการตรวจสอบอาหารในตลาดสด  ในกรุงเทพมหานคร  จำนวน  ๔๘  ตัวอย่างพบฟอร์มาลีนในผ้าชี้ริ้ววัว ๓  ตัวอย่าง  จากการสุ่มตรวจ๔  ตัวอย่าง  พบฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบ
ซึ่งนิยมใส่ในเย็นตาโฟ  ๒  ตัวอย่าง  จากการสุ่มเก็บ  ๖  ตัวอย่าง ภายหลังมีการสุ่มตรวจซ้ำทั้งหมด  ๓๙  ตัวอย่าง  ประกอบด้วย  ปลาหมึกกรอบ  ผักกาดดอง  ถั่วงอก  เห็ดฟาง  ยำเล็บมือนาง (ตีนไก่)  หมูบด  พริกแกง  และผ้าขี้ริ้ว  ผลการตรวจด้วยชุดทดสอบสารปนเปื้อนในอาหารพบฟอร์มาลีนในปลาหมึก  ๒  ตัวอย่าง
 การทดสอบสารฟอร์มาลีนในปลาหมึกกรอบ    
     ปลาหมึกที่ไม่ได้แช่ฟอร์มาลีนน้ำยาทดสอบจะไม่เปลี่ยนสี แต่ถ้าแช่สารฟอร์มาลีนน้ำยาทดสอบจะเปลี่ยนเป็นสีแดง                                
                                                           
         ไม่ได้แช่สารฟอร์มาลีน                แช่สารฟอร์มาลีน
 ตัวอย่าง   อาหารที่มีฟอร์มาลีนปนเปื้อน                                                    
 
            
        
              
เย็นตาโฟ                                ยำเล็บมือนาง
                 


                  ยำผ้าขี้ริ้ว                                   อาหารทะเล


การตรวจพบการปนเปื้อนซ้ำอีก  จะต้องดำเนินคดีทันที  ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายมีโทษตามกฎหมายฐานจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์  มีโทษปรับไม่เกิน  ๒๐,๐๐๐  บาท  โทษจำคุกไม่เกิน  ๒  ปี  หรือทั้งจำและปรับ

สำหรับสารกำจัดศัตรูพืชยังพบการปนเปื้อนในปริมาณค่อนข้างสูง  เฉลี่ยพบร้อยละ  ๓.๓๕  พบตกค้างในผักประเภทมะเขือเปราะ  ผักคะน้า  ผักกวางตุ้ง  ถั่วฝักยาว  และผักอื่นๆ  จึงต้องสุ่มตรวจตามตลาดต่าง ๆ  อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทั่วทุกภาคของไทยมีสถานการณ์
คล้ายกัน

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

รับตรุษจีน

ขบวนเชิดพญามังกรทองจักรพรรดิจรัสแสงมหามงคล โชว์ลีลาการเชิดมังกร ความยาว 85 เมตรในงาน “สยามพารากอน เดอะ โกลเด้น กลอรี่ จรัสจ้าฟ้ามหามงคล เบิกฤกษ์รับตรุษจีน” ณ หน้าศูนย์การค้าสยามพารากอน.

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

ชวนมาร่วมงานลีลาศ

โรงเรียนขอนแก่นวิทยนยน2 (สมาน สุเมโธ)  ในวันที่ 27 มกราคม 2555 เวลา 18.00-24.00 น. เชิญชวน เพื่อนๆๆ ม.5 มาช่วยงานคุณครู และมาดูพี่ๆๆเค้าเต้นลีลาศ กันนะคะ
มาโพตส์กานหน่อยนะค่ะ

GAT PAT ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย

เนื่องจากสำนักทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เปิดเผยถึงการจัดสอบความถนัดทั่วไป (General Aptitude Test หรือ GAT) และความถนัดเฉพาะด้าน/วิชาการ (Professional A Aptitude Test หรือ PAT) เพื่อใช้เป็นคะแนนในการนำไปสอบระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่นส์กลางว่า ตามที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) มีมติว่าการสอบแอดมิชชั่นส์ปี 2553 นั้นจะใช้สัดส่วนคะแนนดังนี้
  1. องค์ประกอบในการยื่นคะแนนเข้ามาหาวิทยาลัย ปี 2553
    ทปอ. จะใช้องค์ประกอบต่อไปนี้ในการยื่น คะแนนเข้ามหาวิทยาลัย
    1) GPAX 6 ภาคเรียน 20 %
    2) O-NET (8 กลุ่มสาระ) 30 %
    3) GAT 10-50 %
    4) PAT 0-40 %

    รวม 100 %
    **หมายเหตุ
    1. GPAX คือ ผลการเรียนเฉลี่ย สะสม 6 ภาคเรียนทุกกลุ่มสาระการเรียน รู้
    2. GAT คือ General Aptitude Test ความถนัดทั่วไป
    3. PAT คือ Professional Aptitude Test ความถนัดเฉพาะ วิชาชีพ
  2. รายละเอียดเกี่ยว กับ GAT
    1. เนื้อหา
         – การอ่าน เขียน คิดวิเคราะห์และการแก้โจทย์ ปัญหา(ทาง คณิตศาสตร์) 50%
         – การสื่อสารด้วยภาษา อังกฤษ 50%

    2. ลักษณะข้อสอบ GAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
         – คะแนนเต็ม 200 คะแนน เวลาสอบ 2 ชั่วโมง
         – ข้อสอบ เน้น Content Free และ Fair
         – เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
         – มีการออกข้อสอบเก็บไว้เป็นคลังข้อ สอบ 

    3. สอบปีละหลายครั้ง
         – คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่สุด (จะสอบ ตั้งแต่ม. 4 ก็ได้)
  3. รายละเอียดเกี่ยว กับ PAT
    1. PAT มี 6 ชุด คือ
    PAT 1 วัดศักยภาพทางคณิตศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Algebra, Probability and Statistics, Conversion,Geometry, Trigonometry,Calculus ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Calculation skills, Quantitative Reasoning, Math Reading Skills
    PAT 2 วัดศักยภาพทางวิทยาศาสตร์
    เนื้อหา ชีววิทยา, เคมี, ฟิสิกส์, Earth Sciences, environment, ICT ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Perceptual Ability, Sciences Reading Ability,Science Problem Solving Ability ฯลฯ
    PAT 3 วัดศักยภาพทางวิศวกรรม ศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Engineering Mathematics, EngineeringSciences,Life Sciences, IT ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Engineering Aptitude i.e. Multidimensional Perceptual Ability, Calculation Skills, Engineering Reading Ability, Engineering Problem Solving Ability
    PAT 4 วัดศักยภาพทางสถาปัตยกรรมศาสตร์
    เนื้อหา เช่น Architectural Math and Science ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ Space Relations, Multidimensional Perceptual Ability, Architectural Problem Solving Ability ฯลฯ
    PAT 5 วัดศักยภาพทาง ครุศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์
    เนื้อหา ความรู้ในเนื้อหาภาษา ไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม วิทยา มานุษยวิทยา สุขศึกษา ศิลปะ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ ครุ ศึกษา (Pedagogy), ทักษะการอ่าน (Reading Skills),ความรู้ทั่วไปเกี่ยว กับการศึกษาของประเทศไทย การแก้ปัญหาที่เกิดจากนัก เรียน ครู ผู้บริหารโรงเรียน ฯลฯ
    PAT 6 วัดศักยภาพทางศิลปกรรมศาสตร์
    เนื้อหา เช่น ทฤษฎีศิลปะ (ทัศนศิลป์ ดนตรี นาฏศิลป์) ความรู้ทั่วไปทาง ศิลป์ ฯลฯ

    ลักษณะข้อสอบ ความคิดสร้าง สรรค์ ฯลฯ
    “อย่างไรก็ตาม มีข้อเรียกร้องจากสมาคมฝรั่งเศสที่เสนอขอให้ ทปอ.จัดสอบเรื่องภาษาที่ 2 ด้วย ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน และญี่ปุ่น เพื่อเป็นการวัดคุณภาพของเด็ก โดยจะขอให้เพิ่มเป็น PAT 7 และย่อยลงไป็น 7.1 , 7.2 ตามลำดับ แต่ ทปอ.เสนอว่าให้ทางสมาคมจัดสอบล่วงหน้าก่อนได้และให้กำหนดในเงื่อนไขแอดมิชชั่นว่าผู้ที่จะสอบในสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับภาษาเหล่านี้จะต้องผ่านการสอนวัดความรู้ด้วย อย่างไรก็ตาม ถ้าหากมีการมาเพิ่มเป็น PAT 7 สทศ.ก็ต้องมาทำการทบทวน PAT ทั้ง 6 ใหม่ ซึ่งก็จะยุ่งยากอีก”ศ.ดร.อุทุมพร กล่าวและว่า สำหรับข้อสอบ PAT นั้นได้เชิญอาจารย์ทีเชี่ยวชาญในแต่ละด้านมาเป็นผู้ออกข้อสอบ โดย สทศ.จะอธิบายความต้องการ วัตถุประสงค์การออกให้ทราบ และเมื่ออาจารย์ออกข้อสอบเสร็จแล้วก้จะนำเข้าคลังข้อสอบในรอบแรกก่อนนำมาเข้ากระบวนการกลั่นกรองเพื่อเข้าคลังข้อสอบของ สทศ. ใหม่อีกครั้ง
    2. ลักษณะข้อสอบ PAT จะเป็นปรนัย และอัตนัย
    - คะแนนเต็มชุดละ 200 คะแนน เวลาสอบชุดละ 2 ชั่วโมง
    - เน้นความซับ ซ้อน (Complexity) มากกว่า ความยาก
    - มีการออกข้อสอบเก็บไว้ในคลังข้อ สอบ

    3. การจัดสอบ จะจัดสอบเมื่อนักเรียนอยู่ชั้น ม.6 โดยจัดสอบปีละ 2 ครั้ง
    - คะแนนใช้ได้ 2 ปี เลือกใช้คะแนนที่ดีที่ สุด
ขณะนี้ ทปอ.ได้มอบหมายให้ สทศ.เป็นผู้จัดสอบ GAT และ PAT ซึ่งในส่วนของ GAT มีการทดลองรูปแบบการสอบแล้ว โดยจะใช้การสอบทั้งแบบปรนัยและอัตนัย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 300 คะแนน โดยนักเรียนสามารถสอบได้ 2-3 ครั้ง และเลือกคะแนนสอบครั้งที่ดีที่สุดไปใช้ โดยคะแนนจะเก็บไว้ได้ 2 ปี แต่เด็กต้องเสียค่าใช้จ่ายในการสอบเอง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มสอบได้ประมาณเดือนตุลาคม 2551 หรืออาจต้นปี 2552 เพื่อให้ใช้ทันแอดมิชชั่นปี 2553
สทศ.ต้องเตรียมเรื่องการออกข้อสอบ โดยได้ขอความร่วมมือจากอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยออกข้อสอบให้ นอกจากนี้ สทศ. ยังจะจัดสอบ B-NET ซึ่งเป็นแบบทดสอบความรู้ 5 ภาคเรียนของ ม.ปลาย เพื่อให้มหาวิทยาลัยนำไปใช้ในการรับตรง ซึ่งการที่ สทศ. ต้องจัดสอบ B-NET เพราะไม่ต้องการให้เด็กวิ่งรอกสอบหลายที่ ผอ.สทศ. กล่าว.